*** การที่ กนง. ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายขึ้นมาอยู่ที่ 1.75% ทำให้หุ้นกลุ่มธนาคารใหญ่ เช่น KBANK SCB BBL KTB และ TTB ดูจะตอบรับดอกเบี้ยขาขึ้นได้มากที่สุด เพราะแม้ว่าผลการดำเนินงานปี 65 อาจยังไม่ตอบรับอย่างเต็มที่ แต่ผลงานปี 66 น่าจะเห็นผลได้ชัดเจนมากขึ้น
ขณะที่กลุ่มจะมีปัญหา คือ กลุ่มที่ต้องรับภาระในการจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มหรือสูญเสียผลประยชน์อย่างอื่น เช่น ไฟแนนซ์ อาทิ AEONTS TIDLOR MTC THANI SAWAD KTC ธนาคารขนาดเล็ก TISCO KKP BAY กลุ่มค้าปลีกเช่น CPALL MAKRO กลุ่มค้าวัสดุก่อสร้างอย่าง DOHOME GLOBAL กลุ่มค้าปลีกไอที JMART COM7 SYNEX SIS กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ LPN PSH กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF BGRIM GPSC
อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่มีปัญหาราคาหุ้นในปัจจุบัน ได้ตอบรับประเด็นดอกเบี้ยขาขึ้นมาก่อนหน้านี้ จนทำให้ดัชนีหุ้นไทยยังคงยืนอยู่ในระดับ 1,600 จุดต่อไปได้ ดังนั้น ถ้าจะบอกว่าตลาดหุ้นไทยพอที่จะยังมีโอกาสให้นักเล่นทั้งหลายคงจะไม่ผิด เพียงแต่ต้องอาศัยจังหวะเข้าเร็วออกเร็ว หรือ จะตีหัวเข้าบ้านบ้าง...ก็แล้วแต่เทคนิคเท่านั้นเอง
*** มาว่ากันถึง SABUY ต่ออีกสักตอน เพราะล่าสุดบอร์ดบริหารอนุมัติให้ทำเทนเดอร์ฯ AS ในราคาหุ้นละ 18.50 บาท AS-W2 ในราคาหุ้นละ 15 บาท รวมถึงการใช้สิทธิแปลงสภาพของ AS-W2 ในราคาหุ้นละ 3.50 บาท รวมมูลค่าไม่เกิน 7.1 พันล้านบาท ซึ่งหลังจากที่ดีลจบจะส่งผลดีกับ SABUY เนื่องจากสามารถรับรู้กำไรจาก AS เข้ามากว่า 100 ล้านบาท โดยในปีที่ผ่านมา AS มีกำไรสุทธิ 300 ล้านบาท ขณะที่ในปี 64 เคยมีกำไรสูงถึง 500 ล้านบาทเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามเจ๊เมาธ์มองว่า ยังเร็วเกินไปที่จะสรุป อย่างแรก คือ ถ้าหากสถานภาพของ AS ยังดีอยู่จริง แล้วทำไมผู้ถือหุ้นใหญ่จึงยินยอมที่จะขาย อย่างที่สอง คือ เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเกิดกรณีการซื้อขายผ่านแค่เพียงกระบวนการทางเอกสาร เพื่ออัพตัวเลขให้ดูดี โดยสิ่งที่จะมีแค่ราคาหุ้นของทั้ง SABUY และ AS เท่านั้นที่เปลี่ยน ขณะที่ในภาคของการทำธุรกิจยังคงเหมือนเดิม ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็ไม่รู้ว่าจะซื้อขายกันไปทำไม ก็ไม่มีอะไรมาก...เจ๊เม้าธ์ก็แค่สงสัยเท่านั้นเองเจ้าค่ะ
*** หุ้นน้องใหม่ที่กำลังจะเข้าตลาด mai อย่าง DEXON ถือว่าเป็นหุ้นน้ำดีที่เจ๊เมาธ์กำลังให้ความสนใจ อย่างแรก คือ ธุรกิจการตรวจสอบระบบท่อในงานอุตสาหกรรมของบริษัทนี้ เป็นเทคโนโลยีเฉพาะที่ไม่ค่อยจะเห็นได้บ่อยนัก ดังนั้น คู่แข่งในทางธุรกิจมีน้อย หรือ แทบจะไม่มีเลยไม่ว่าจะในไทยและอาเซียน
อย่างที่สอง คือ ผลการดำเนินงานของบริษัทถือว่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตราส่วนในการทำกำไรขั้นต้น ที่สูงถึง 42% ขณะที่อัตราส่วนการทำกำไรสุทธิสูงถึง 17%
ส่วนเรื่องสุดท้าย คือ เจ๊เมาธ์ไม่พบว่ามีกระบวนการทำหุ้นแอบเข้ามามีส่วนของการทำไอพีโอในครั้งนี้ แต่ของแบบนี้ถ้ายังไม่เกิดขึ้น ก็ยังฟันธงกันยังไม่ได้ว่าจะเป็นของจริงหรือไม่ เอาเป็นว่าวันที่ 31 มี.ค. ซึ่งเป็นวันที่ DEXON เข้าทำการซื้อขายวันแรกก็คงจะได้รู้กัน
*** เห็นราคาหุ้น SUPER ของเสี่ยตั๊ม “จอมทรัพย์ โลจายะ” ทำตัวเป็น “สาระวันเตี้ยลง” ไม่ยอมไปไหน ก็บอกเลยว่า เจ๊เมาธ์หล่ะเหนื่อยจริงๆ เพราะกำลังการผลิตไฟฟ้า (COD) ของบริษัททั้งในไทย และ อาเซียน ก็โตขึ้นทุกวัน ถึงตอนนี้ก็ปาเข้าไปจนจะถึง 1,700 MW อยู่แล้ว แต่บริษัทยังดันมีกำไรแบบลุ่มๆ ดอนๆ เด่วมี...เด่วหาย จนไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วขาดทุนจริง หรือเล่นเกมตัวเลขกันแน่
ขณะที่เรื่องของอดีตผู้ถือหุ้นใหญ่ ที่แยกทางกันไป จนถึงตอนนี้จะ 2 ปีอยู่แล้วที่ เสี่ย ป. ไม่ได้เข้ามากดดันราคาหุ้นแบบที่เคย แต่ก็ยังไม่เห็นว่าราคาหุ้นของ SUPER จะขยับไปไหนอยู่ดี เฮ้อ...แล้วแบบนี้แฟนคลับที่ติดดอยอยู่เมื่อไหร่จะได้ลงดอยซะที ถ้ามีอะไรดีๆ ก็เข็นออกมาให้เต็มที่เลยนะคะ เผื่อราคาหุ้นจะได้ดีขึ้น ตอนนี้อยากลงดอยแล้วเจ้าค่ะ